วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

กฎของโอห์ม

กฎของโอห์ม

    ในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงกฎของโอห์มมักจะนำมาใช้อยู่บ่อยๆ เพราะกฎนี้บอกถึงความสัมพันธ์ระหว่าง  แรงดันไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าและความต้านทาน ความสัมพันธ์นี้ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ ชื่อ ยอร์จ ไซมอน โอห์ม (George  Simon  Ohm) ซึ่งชื่อของเขาได้รับเกียรติเป็นชื่อหน่วยของความต้านทาน
    กฎของโอห์มกล่าวว่า  กระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจรแปรผันโดยตรงกับแรงดันที่ป้อนและแปรผกผันกับความต้านทานของวงจร
    ขอยกตัวอย่างดังรูปด้านล่าง  เป็นวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย โดยความต้านทานต่อคร่อมแหล่งจ่ายแรงดัน  การเปลี่ยนแปลงแรงดันที่ป้อนให้กับวงจรจะทำให้กระแสที่ไหลในวงจรเปลี่ยนแปลง ไปด้วย  ถ้าหากว่าตัวต้านทานนี้คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง กระแสที่ไหลในวงจรจะเปลี่ยนไปตามรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของแรงดัน  กล่าวคือถ้าเพิ่มแรงดันเป็น 2 เท่า  กระแสก็เพิ่มเป็น 2 เท่าด้วย  ถ้าลดแรงดันลงครึ่งหนึ่งกระแสก็จะลดลงไปครึ่งหนึ่งด้วย นี้คือความหมายของกระแสแปรผันโดยตรงกับแรงดัน
  
 ในรูปที่ 1.3  เป็นวงจรอย่างง่ายอีกเช่นกันถ้าหากกำหนดให้แรงดันที่ป้อนให้กับวงจรที่และ ความต้านทานในวงจรเพิ่มขึ้น กระแสในวงจรก็จะลดลงหรือกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า ถ้าลดความต้านทานลงกระแสที่ไหลในวงจรจะเพิ่มขึ้น นี่คือความหมายที่ว่า กระแสที่ไหลในวงจรแปรผกผันกับความต้านทานของวงจร


 ความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันคร่อมกับกระแสที่ไหลในตัวต้านทาน

    การหาความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันและกระแสในวงจรอย่างง่ายทำได้โดย ทำการทดลองในรูปที่ 1.4  โดยมีตัวต้านทานค่าคงที่ ค่าหนึ่งใช้แอมมิเตอร์ต่ออนุกรมกับวงจรเพื่อวัดกระแสที่ไหลผ่านตัวต้านทาน และต่อโวลท์มิเตอร์คร่อมตัวต้านทานเพื่อวัดแรงดัน ผลที่ได้จะบันทึกลงในกราฟในรูปที่ 1.5  ซึ่งแรงดันตกคร่อมเป็นแกนนอน และกระแสเป็นแกนตั้ง
รูปที่ 1.4
หากตัวต้านทานมีค่าความต้านทาน 10 โอห์ม จากการทดลองพบว่าแรงดันที่ตกคร่อมตัวต้านทานเพิ่มขึ้น



 การเขียนสมการตามกฎของโอห์ม

จากความสัมพันธ์ที่เป็นเชิงเส้นระหว่างแรงดันและกระแสสามารถนำมาเขียนเป็นสมการง่ายๆได้ดังนี้

แรงดัน (โวลท์) = กระแส (แอมป์) X  ความต้านทาน(โอห์ม)  หรือ     E = I x R
ในสมการนี้เพียงแต่เรารู้ค่า 2 ค่าเท่านั้นเราจะสามารถหาค่าที่สามได้ เช่นถ้ารู้กระแสและความต้านทาน ต้องการหาค่าแรงดันให้ใช้สูตร
E = I x R
ในสมการนี้เพียงแต่เรารู้ค่า 2 ค่าเท่านั้นเราจะสามารถหาค่าที่สามได้ เช่น

ถ้ารู้กระแสและความต้านทาน ต้องการหาค่าแรงดันให้ใช้สูตร       E = I x R

ถ้ารู้แรงดันและความต้านทาน ต้องการหาค่ากระแสให้ใช้สูตร       I = E / R

ถ้ารู้แรงดันและกระแส ต้องการหาค่าความต้านทานให้ใช้สูตร       R = E / I

เทคนิคการจำสมการตามกฎของโอห์ม 

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

กฏของพาสคาลและเครื่องอัดไฮดรอลิก

กฏของพาสคาลและเครื่องอัดไฮดรอลิก

กฏของพาสคาลและเครื่องอัดไฮดรอลิก
 
" เมื่อเพิ่มความดัน ณ ตำแหน่งใดๆ ในของเหลวที่อยู่นิ่งในภาชนะปิด ความดันที่เพิ่มขึ้นจะถูกส่งผ่านไปยังทุกๆ จุดในของเหลวนั้น "
หลักการนี้เรียกว่า กฎของพาสคัล (Pascal 's law) กฎของพาสคัลใช้อธิบายการทำงานของเครื่องกลผ่อนแรง เช่น เครื่องอัดไฮดรอลิก

 
เครื่องอัดไฮดรอลิก ประกอบด้วยกระบอกสูบและลูกสูบ 2 ชุดเชื่อมถึงกัน ภายในกระบอกสูบนี้บรรจุของเหลวไว้ เมื่อออกแรงที่ลูกสูบเล็กทำให้เกิดความ
ดันตามกฎของพาสคัล ความดัน นี้จะไปปรากฏที่ลูกสูบใหญ่ด้วย เครื่องอัดไฮดรอลิกจึงเป็นเครื่องผ่อนแรงชนิดหนึ่ง



a คือ พื้นที่หน้าตัดของลูกสูบเล็ก
A คือ พื้นที่หน้าตัดของลูกสูบใหญ่
W คือ น้ำหนักที่กดลงบนลูกสูบใหญ่
F คือ แรงที่กดลงบนลูกสูบเล็ก

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

มอดูลัสของยัง

มอดูลัสของยัง (Young's modulus) หรือ มอดูลัสของสภาพยืดหยุ่น (modulus of elasticity หรือ elastic modulus) เป็นค่าบอกระดับความแข็งแกร่งของวัสดุ ค่ามอดูลัสของยังหาจาก ค่าลิมิดของอัตราการเปลี่ยนแปลงของความเค้น( stress )ต่อ  ความเครียด ( strain ) ที่ค่าความเค้นน้อย สามารถหาจากความชัน ของ กราฟความสัมพันธ์ ความเค้น-ความเครียดที่ได้จาก การทดลองดึง
*หน่วย  SI ของมอดูลัสของสภาพยืดหยุ่น คือ  ปาสคาล (pascal)

ค่ามอดูลัสของยัง
นั้้นมีประโยชน์ใช้ในการคำนวณพฤติกรรมในการรับแรงของวัสดุ ตัวอย่างเช่น สามารถใช้ในการคาดคะเน ความยืดของลวดในขณะรับแรงดึง หรือคำนวณระดับแรงดันที่กดลงบนแท่งวัสดุ แล้วทำให้แท่งวัสดุยวบหักลง ในการคำนวณจริงอาจมีค่าอื่นๆ เกี่ยวข้องด้วย เช่น  มอดูลัสของแรงเฉือน (shear modulus)  ความหนาแน่น
Y   =   ความเค้น  =   σ   =   (F/A)/(L/L)  =  (F.L)/(A.L )
          
ความเครียด     ε
โดย
Y    = มอดูลัสของยัง  มีหน่วยเป็น ปาสกาล (Pa) หรือ นิวตันต่อตารางเมตร (N/m^2)
σ   = ความเค้นตามยาว 
ε  
 = ความเครียดคามยาว
F    =  แรง ในหน่วย นิวตัน
A   = พื้นที่หน้าตัดรับแรง ในหน่วย ตารางเมตร

L  = ส่วนที่ยืดออกของวัสดุ ในหน่วย เมตร
L   = ความยาวปกติของวัสดุ ในหน่วย เมตร 


-นอกจากมอลูลัสของยังแล้ว ยังมีมอลูลัสประเภทอื่นอีก ได้แก่ มอดูลัสเฉือน (shear modulus)  
วัตถุ ที่มีมอดูลัสเฉือนสูง แสดงว่าวัตถุนั้นทนต่อการทำให้ผิวหนึ่งเลื่อนไปยนอีกผิวหนึ่ง หรือถ้าแรงที่กระทำต่อวัสดุเป็นแรงเฉือน จะเกิดคาวมเค้นและความเครียดเฉือนบนวัสดุนั้น อัตราส่วนระหว่าง ความเค้นเฉือนและความเครียดเฉือนจะมีค่าคงตัวเช่นกัน เรียกค่าคงตัวว่า มอดูลัสเฉือน แทนด้วย สัญลักษณ์ Gและเขียนได้ว่า

*มอดูลัสเฉือนมีหน่วย นิวตันต่อเมตร วัสดุมีค่ามอดูลัสเฉือนสูงแสดงว่าวัสดุนั้นทนต่อการทำให้ผิวหนึ่งเลื่อน ไปบนอีกผิวหนึ่ง



-อัตราส่วนระหว่างความเค้นเชิงปริมาตรและความเครียดเชิงปริาตร เรียกว่า มอดูลัสเชิงปริมาตร (bulk modulus)
แทนด้วยสัญลักษณ์ B และเขียนเป็นสูตรได้ว่า
มอดูลัสเชิงปริมาตรมีหน่วยเป็น นิวตันต่อเมตร วัสดุที่มีมอดูลัสเชิงปริมาตรสูงแสดงว่าวัสดุนั้นมีความทนต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาตร

-มอดูลัสของยัง มอดูลัสเฉือนและมอดูลัสเชิงปริมาตร เรียกรวมกันว่า มอดูลัสสภาพยืดหยุ่น(elastic modulus) ซึ่งเขียนเป็นความสัมพันธ์ในรูปทั่วไปได้ว่า


วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วงจรไฟฟ้า

วงจรไฟฟ้า

      วงจรไฟฟ้า ประกอบด้วย ความต้านทานหลายตัวต่อเข้าด้วยกันแบบต่างๆ เซลล์ไฟฟ้าหลายๆ เซลล์ต่อเข้าด้วยกัน  มีการใช้แอมมิเตอร์    โวลต์มิเตอร์วัดในจุดต่างๆ     ซึ่งเมื่อต่อตัวนำหรือตัวต้านทานเข้ากับแหล่งกำเนิดไฟฟ้า   จะมี
 กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวต้านทานและแหล่งกำเนิดไฟฟ้านั้น
      กระแสไฟฟ้าที่เกิดก็เนื่องจากการเคลื่อนที่ของประจุ
 ไฟฟ้า
 
โดยประจุไฟฟ้าได้รับพลังงานจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้า


แรงเคลื่อนไฟฟ้า
(electromotive  force ; e.m.f.)

       แรงเคลื่อนไฟฟ้า หรือ electromotive force (emf ; E) ของแหล่งกำเนิดไฟฟ้าใดๆ นิยามว่า  เป็นพลังงาน
 ที่แหล่งกำเนิดนั้นจะสามารถให้ได้ต่อหน่วยประจุไฟฟ้า  ตัวอย่างเช่น
       เมื่อกล่าวว่า  ถ่านไฟฉายก้อนหนึ่งมีแรงเคลื่อนไฟฟ้า 1.5 โวลต์ (V) หรือจูลต่อคูลอมบ์ (J/C) จะหมายความว่า
 ถ่านไฟฉายก้อนนั้น    สามารถให้พลังงานได้ 
1.5  จูลต่อประจุไฟฟ้าทุกๆ  1  คูลอมบ์    ที่เคลื่อนที่ระหว่างขั้วไฟฟ้า
 ภายในถ่านไฟฉายนั้นหรืออาจหมายความว่า   ถ่านไฟฉายนั้นสามารถทำให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างขั้วของ
 ถ่านไฟฉายได้ 
1.5 
โวลต์  เมื่อไม่มีกระแสไฟฟ้า
 

       จากรูป  สัญลักษณ์     หมายถึง  เซลล์ไฟฟ้า นำโวลต์มิเตอร์ (เครื่องมือวัดความต่างศักย์ไฟฟ้า) 
 มาวัดความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างขั้วของถ่านไฟฉาย   ปรากฏว่า   วัดได้ค่า 
V1   ตามความหมายของแรงเคลื่อน
ไฟฟ้า  จะได้
...

V1          =          E           =            1.5          โวลต์
        ถ้าวงจรเปลี่ยนไปเป็นรูป (ข)   โวลต์มิเตอร์อ่านได้  V2    ตอนนี้   V2    จะเป็นความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ตกคร่อม
  ความต้านทาน
  และเป็นความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างขั้วของเซลล์ไฟฟ้า   เมื่อมีความต้านทาน  ต่อรวมอยู่ 
  พบว่า 
V2  น้อยกว่าแรงเคลื่อนไฟฟ้า E  อธิบายได้ว่า  เพราะเซลล์ไฟฟ้ามีความต้านทานภายใน  ทำให้พลังงาน
  ไฟฟ้าบางส่วนสูญเสียไป   โดยการอาศัยกฎของโอห์ม
   และความหมายของแรงเคลื่อนไฟฟ้า  และความต่างศักย์
  ไฟฟ้า  จะได้
...

E          =          IR  +  Ir
       หรือ...
       เมื่อ ...   I   เป็นกระแสไฟฟ้า

สรุปนิยาม...

         
 แรงเคลื่อนไฟฟ้า (electromotive   force “e.m.f.”) หมายถึง พลังงานไฟฟ้าที่แหล่งกำเนิด (เซลล์ไฟฟ้า) ใช้ในการเคลื่อนประจุ +1 คูลอมบ์  ครบวงจรพอดี  จากขั้วบวกไปยังขั้วลบผ่านตัวต้านทาน (R)  ภายนอกเซลล์และจากขั้วลบไปยังขั้วบวก  ผ่านเซลล์ไฟฟ้าภายใน  มีหน่วยเป็น  จูลต่อคูลอมบ์ หรือ โวลต์
           ความต่างศักย์ไฟฟ้าภายนอกเซลล์  (VR)  หมายถึง พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการเคลื่อนประจุ +1 คูลอมบ์  จากขั้วบวกไปยังขั้วลบของเซลล์  โดยผ่านตัวต้านทานภายนอกเซลล์ (R)  มีหน่วยเป็น  จูลต่อคูลอมบ์  หรือ  โวลต์
           ความต่างศักย์ไฟฟ้าภายในเซลล์  (Vr)    หมายถึง  พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการเคลื่อนประจุ  +1 คูลอมบ์   จากขั้วลบไปยังขั้วบวกของเซลล์   โดยผ่านภายในเซลล์ไฟฟ้า  มีหน่วย เป็น  จูลต่อคูลอมบ์ หรือ  โวลต์
           ความต้านทานภายใน  (r) หมายถึง ความต้านทานภายในเซลล์ไฟฟ้า  มีหน่วย เป็น  โวลต์ต่อแอมแปร์  หรือ โอห์ม

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เพลงสบายๆผ่อนคลาย



แรงดันของน้ำเหนือประตูน้ำหรือเขื่อน

แรงดันของน้ำเหนือประตูน้ำหรือเขื่อน

เมื่อ พิจารณาที่ประตูกั้นน้ำหรือเขื่อน จะมีแรงดันเนื่องจากน้ำและอากาศกระทำต่อประตูน้ำหรือเขื่อนตลอดเวลา แต่เนื่องจากแรงลัพธ์ของอากาศบนประตูน้ำหรือเขื่อนทั้งสองด้านเป็นศูนย์ จึงพิจารณาแรงดันเนื่องจากน้ำเท่านั้น
ลักษณะของประตูน้ำหรือเขื่อนมี 2 ลักษณะใหญ่ คือ
1. ตั้งตรงในแนวดิ่ง
2.  เอียง
การคำนวณหาแรงดันที่กระทำต่อประตูกั้นน้ำหรือเขื่อน
1. ลักษณะแรงดันของน้ำจะตั้งฉากกับผิวสัมผัส คือ ผนังเขื่อนหรือผนังประตูน้ำเสมอ
2. การคำนวณหาขนาดของแรงดันเหมือนกับการหาแรงดันของของเหลวที่กระทำต่อผนังภาชนะ คือ

หรืออาจเขียนความสัมพันธ์ของ F กับ h กรณีประตูกั้นน้ำหรือเขื่อนตั้งตรงในแนวดิ่ง ได้ว่า

เมื่อพิจารณาน้ำที่อยู่เหนือเขื่อนหรือประตูกั้นน้ำอยู่นิ่ง แรงที่กระทำต่อเขื่อนหรือประตูกั้นน้ำในรูปที่ 11  เท่ากับ

ซึ่งจะเห็นว่า แรงทั้งหมดที่กระทำต่อเขื่อนหรือประตูกั้นน้ำ แปรผันตรงกับความสูงของระดับน้ำยกกำลังสอง
ดังนั้นเมื่อน้ำเหนือเขื่อนหรือประตูกั้นน้ำสูงเพิ่มขึ้น จะทำให้แรงที่กระทำต่อเขื่อนหรือประตูกั้นน้ำมีค่าเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งถ้าแรงกระทำมากอาจจะเป็นอันตรายเพราะอาจทำให้เขื่อนหรือประตูกั้นน้ำพัง ทะลายได้

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การเคลื่อนที่เเนวเส้นตรง

การเคลื่อนที่ ด้วย ความเร็ว ความเร่ง และ การเคลื่อนที่ในแนวตรง

การเคลื่อนที่ ในแนวตรง
  อัตราเร็ว คือการเปลี่ยนแปลง ระยะทาง ต่อเวลา
 
อัตราเร็วเฉลี่ย หน่วย เมตร/วินาที(m/s)
    s = ระยะทางที่เคลื่อนที่ได้ (m) ตามแนวเคลื่อนที่จริง
    t = เวลาในการเคลื่อนที่ (s)
     
  ความเร็ว คือ การเปลี่ยน แปลงการกระจัด
 
ความเร็วเฉลี่ย หน่วย เมตร/วินาที (m/s)
    s = การกระจัด (m) คือ ระยะทางที่สั้นที่สุดในการย้ายตำแหน่ง หนึ่งไป อีกตำแหน่งหนึ่ง
     
  ความเร่ง คือ อัตราการเปลี่ยน ความเร็ว
 
ความเร่ง หน่วย เมตรต่อ วินาที2( m/s2)
    a = ความเร่ง
แสดง เป็นกราฟ
การกระจัดกับเวลา ความเร็วกับเวลา ความเร่งกับเวลา
     
  การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
  การเคลื่อนที่ในแนวตรงด้วยความเร่งคงที่ มีสูตรดังนี้
  s = vt u = ความเร็วเริ่มต้น (m/s)
v = ความเร็วตอนปลาย (m/s )
s = ระยะทาง(m)
a = ความเร่ง ( m/s2)
   
  การเคลื่อนที่ในแนวดิ่งภายใต้แรงดึงดูดของโลก
  1.v = u - gt u = ความเร็วต้น เป็น + เสมอ
 
v = ความเร็วปลาย + ถ้าทิศเดียวกับ u และเป็น - ถ้าทิศตรงขามกับ u
s หรือ h = ระยะทางเป็น + ตอนวิ่งขึ้น และเป็น - ตอนวิ่งลง
  3.v^2 = u^2+2gh g = ความเร่งจากแรงโน้มถ่วง